วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เปิดประสิทธิภาพตัวเลือกเครื่องบินใหม่ทอ. ตอนที่ 1: JAS-39 Gripen


สวีเดนมีประวัติการสร้างเครื่องบินที่โดดเด่นมานาน โดยเครื่องบินมักจะติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยในแต่ละยุด การออกแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตลอดจนถึงความหลากหลายในการติดอาวุธ JAS - 39 "Gripen" นั้นก็เป็นเครื่องบินอีกหนึ่งแบบที่สวีเดนผลิตเพื่อทดแทน JA-37 Viggen ของสวีเดนเอง และหวังที่จะส่งออกขายทั่วโลก Gripen มีความอ่อนตัวสูงในการปฏิบัติการ เพราะสามารถวิ่งขึ้นได้จาก Runway ยาว 800 เมตร และลงจอดบนถนนหลวงที่มีความยาวเพียง 500 เมตร ต้องการเจ้าหน้าที่สนับสนุนภาคพื้นดินเพียงแค่ 5 คนก็สามารถทำให้ Gripen บินได้อย่างสบายแล้ว Gripen มีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการที่ต่ำกว่าเครื่องบินแบบอื่น ๆ รวมถึงสามารถใช้อาวุธได้หลากหลาย มีความเร็วสูงสุด 1.4 มัคที่ระดับน้ำทะเล และ 2 มัคที่ความสูงที่สูงกว่า

ระบบเรด้าห์และเครื่องยนต์

Gripen ใช้เรด้าห์พิสัยไกลของ Ericsson รุ่น PS-05/A ซึ่งมีความสามารถในการตรวจจับเป้าหมายได้ทั้งอากาศและพื้น ใช้เครื่องยนต์ Volvo RM12 ซึ่งปรับปรุงมาจากเครื่องยนต์ General Electric F-404-400 ที่ติดตั้งใน F/A-18 ของสหรัฐ



ระบบ Data Link

สวีเดนซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อเครื่องบินในฝูงเป็นเครือข่าย โดยก่อนบินนักบินสามารถใส่โปรแกรมการบิน ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนกับทั้งเครื่องบินด้วยกันเองและภาคพื้น ในระหว่างปฏิบัติภารกิจเป็นหมู่ Gripen สามารถเปิดเรด้าห์เพียงเครื่องเดียวเพื่อลดการตรวจจับแต่สามารถส่งข้อมูลของเป้าหมายให้เครื่องบินอื่น ๆ ในหมู่บินได้ ดังนั้นเครื่องบินที่ไม่ได้เปิดเรด้าห์จึงสามารถเข้าโจมตีได้โดยที่ถูกตรวจจับได้ยากและข้าศึกไม่รู้ตัว ซึ่งระบบนี้สวีเดนเป็นชาติแรกที่พัฒนาซึ่งคล้ายกับระบบที่ติดตั้งในเครื่องบิน F-22 ของสหรัฐ

ข้อดีข้อเสีย

-ข้อดี

นอกจากข้อดีที่กล่าวมาแล้วก่อนหน้า Gripen เสนอข้อเสนอที่ดูแล้ว "น่าซื้อ" ที่สุดในบรรดาเครื่องบิน 3 แบบดังนี้
-สวีเดนเสนอJAS 39 จำนวน 12เครื่องคิดเป็นเงิน โดยประมาณ 34,680 ล้านบาท และมีของแถมอีกมากมาย
คือเครื่องบินแบบให้ฟรีๆ 3 ลำรวมมูลค่า 4.648.14ล้าบาท ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ ท.บและท.ร.ต้องการให้ท.อ.ต้องการมีไว้ประจำการ เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่สมารถจัดหาได้เนื่องจากต้องใช้งบประมาณสูงมาก คือ เครื่อง ERIEYE ซึ่งเป็นเครื่องบินใช้สำหรับ ค้นหา/สอดแนม ลาดตะเวนหาข่าว ตรวจจับเรือดำน้ำ ถ่ายภาพทางอากาศ โดยทางสวีเดนเสนอเครื่อง ERIEYE จำนวน2เครื่อง แต่เนื่องเครื่องลำนี้สร้างโดยเทคโนโลยีชั้นสูง จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทางสวีเดนเห็นความจำเป็น ในการฝึก จึงแถมเครื่องบิน SAAB 340 ให้อีก1เครื่อง ไว้สำหรับฝึกโดยไม่จำเป็นต้องนำเครื่อง ERIEYEมาฝึกจริง นอกจากนี้จะให้ระบบสถานนีภาคพื้นดิน รับสัญญาณถ่ายทอดจากเครื่อง ERIEYE อีก 3 สถานี (GROUND BASED STATION) รวมมูลค่า 504ล้านบาท
- สวีเดนเสนอช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์ แบบฟรีๆรวมมูลค่า 5.857.74 ล้านบาท ให้จรวดต่อต้านผิวน้ำ RBS จำนวน12นัด รวมมูลค่า 504 ล้านบาท โดยยุทโธปกรณ์ แบบให้เปล่าทั้ง3รายการ
คือ1.เครื่อง ERIEYE 2 ลำ,เครื่องบิน SAAB 1ลำ รวมเป็น3ลำ GROUND BASED STATION อีก3สถานนี
2.จรวดต่อต้านผิวน้ำ RBS จำนวน12นัด
3. ช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์ รวมมูลค่าทั้งสิ้นหลายหมื่นล้านบาท
-ให้ความช่วยเหลือพิเศษอีก3รายการทียังไม่สามารถประเมินราคาได้ อีก3รายการคือ
1.การฝึกนักบินและช่างเทคนิกของการซ่อมบำรุงโดยยินดีให้นักบินและช่างเทคนิคเข้าถึงฐานขอมูลทั้งหมดของเครื่องJAS39 ทั้งหมดโดยสวีเดนไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
2.ทุนฝึกอบรมสำหรับเครื่อง JAS39 จำนวน 100 คนในระยะเวลาอบรมที่สวีเดน 1ปี
3.ทุนการศึกษาปริญญาโทในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน200 ทุนในระยะเวลา 5ปี ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนนายเรืออากาศไทยที่จบการศึกษาแล้วไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย ของสวีเดนได้ถึง200คน
-ขอเสนอทั้งหมดนี้สวีเดนแจ้งว่า เป็นขอเสนอพิเศษสำหรับวโรกาสพิเศษที่ราชวงศ์และรัฐบาลสวีเดนมอบให้เฉพาะไทย ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสวยราชสมบัติ ครองราชย์มา 60 ปี ในปีพ.ศ.2549 อันจะเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ใกล้ชิดราชวงศ์ไทยและสวีเดนยิ่งขึ้น และทั้งหมดเป็นการดำเนินการแบบรัฐต่อรัฐไม่มีนายหน้าเข้ามาเกี่ยวข้อง

ข้อเสนอเหล่านี้เป็นข้อเสนอที่พลิกประวัติศาสตร์วงการการบินทางทหารของโลกเลยทีเดียว


ข้อเสีย

-ในจำนวนเครื่องบิน 3 แบบที่เป็นตัวเลือกของทอ.ไทยนั้น Gripen มีขนาดเล็กที่สุด โดยสามารถบรรทุกอาวุธไปได้ 5.3 ตัน มีพิสัยบินทำการรบ (บินไปโจมตีแล้วกลับฐาน) ไกล 800 กิโลเมตร พิสัยบินไกลสุด 3000 กิโลเมตร และเป็นธรรมดาที่เครื่องบินจากค่ายยุโรปจะมีอะไหล่ที่ค่อนข้างแพงซักนึดซึ่งอาจจะเป็นปัญหาได้
-ที่น่าห่วงอีกอย่างคือการสนับสนุนอะไหล่ เพราะปัจจุบันมีเพียง 4 ชาติเท่านั้นที่ใช้ Gripen คือ สวีเดน (185 เครื่อง) แอฟริกาใต้ (28 เครื่อง) เช็ค (12 เครื่อง) และฮังการี (14 เครื่อง) ซึ่งดูแล้วน้อยกว่าเป้าหมายของบริษัท Gripen International ที่มีเป้าหมายที่จะขายให้ได้ประมาณ 200 เครื่องนอกสวีเดน แต่ทาง Gripen International ก็พยายามมองหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน Gripen เข้าแข่งขันในโครงการการจัดหาในหลาย ๆ ประเทศเช่น บราซิล (คู่แข่ง Su-35) อินเดีย (คู่แข่ง Rafale, F-16, F/A-18, MiG-29) และเสนอขายให้โปแลนด์ เดนมาร์ค ออสเตรีย
-Gripen เป็นเครื่องบินที่แม้จะประสิทธิภาพสูงมาก แต่ก็เป็นเครื่องบินในเชิงรับ ซึ่งแตกต่างจาก Su-30 อย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าเราซื้อ Gripen จริงก็หมายความว่าเรายังใช้ยุทธศาสตร์ "อุดแล้วโยน" ต่อไป แต่ก็มิได้หมายความว่าเราจะทำได้แค่รออยู่ในบ้านแต่อย่างเดียว เพราะถ้าประจำการเครื่องบินลำนี้ที่กองบิน 7 สุราษฐ์แล้ว เราก็มีความสามารถที่จะโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนทางใต้ได้พอประมาณทีเดียว

ภาคผนวก: ทำไมสวีเดนจึงอยากให้ไทยเป็นลูกค้ามากขนาดนี้

เหตุผลหลัก ๆ ที่พอจะสรุปได้จากความเห็นส่วนตัวมีดังนี้
1. สวีเดนต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดต่างประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะตลาดเอเชีย
2.สวีเดนต้องการเปิดตลาดอาวุธในไทยและในภูมิภาคนี้ที่มีความต้องการอาวุธใหม่ ๆ สูงมาก
3. Gripen ไม่เคยออกรบ ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าในอนาคตเชื่อถือได้นั้นก็คือการซ้อมรบ โดยไทยนั้นซ้อมรบกับประเทศเจ้าพ่อสงครามอย่างอเมริกาและประเทศไฮเทคอย่างสิงคโปร์อยู่เป็นประจำ (Cobra Gold และ Cope Tiger) ดังนั้นถ้ามีชื่อ Gripen อยู่ในการซ้อมรบและมีข้อมูลว่าสามารถยิงเครื่องบินอย่าง F-15 F-16 F/A-18 ตกได้ในการซ้อมแล้ว ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นอย่างมากให้กับลูกค้าในอนาคต



Wing Span: 8,40 m incl. wingtip launchers.
Length:14.10 m (single seat). 14.80 m (dual seat).
Height: 4.50 m.
Engine:One Volvo Aero Corporation RM12 (F404-GE-400) rated 54 kN dry and 80.5 kN with reheat.
Weight:
-Empty: 7.400 Kg.
-Internal fuel: 2.270 Kg.
-External fuel: 3.110 liter tanks.
-Max. payload: 5.300 Kg.
Max. take off weight:14.000 Kg.
Max. speed:
- 1.400 km/h (at sea level).
- 2.126 km/h (high level).
Max. ceiling:14.000 m.
Range:
- ferry range 3.000 km without drop tanks.
- 800 km combat range.
- 3000 km max. range.
g limits:-3/+9.
Radar:Ericsson/GMAv PS-05/A pulse Doppler multimode look down/shoot down radar with multiple target track. incl. scan and ground mapping capabilities.
Weapons:
-27 mm Mauser BK-27 cannon with 120 rounds (JAS-39A/C).
-AIM-9L Sidewinder
-AIM-120B AMRAAM
-IRIS-T.
-AGM-65 Maverick (210 kg).
-M70 Rocket pods 6x 135 mm (364 kg).
-RBS 15F Anti ship Missile (598 kg)
-Bk 39 Bombkaspsel M/90 Mjölner (600 kg) this is a gliding bomblet dispenser with 48 submunition of the types MJ-1 (Fragmentation) and MJ-2 (anti-tank).
-General-purpose bombs.
-Cluster bombs.

Ref. Form Here


คุณกำลังขับรถไปตามถนนที่วุ่นวายของเมืองเล็กๆ ที่สวยงามดุจภาพวาดที่คุณไม่เคยมามาก่อน สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง คุณหยุดรถ แล้วมีหญิงชราคนหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายจากทางซ้ายมือของคุณ ทันใดนั้นคุณก็รู้สึกเหมือนกับว่าคุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อน...ในรถคันนี้ ที่ทางแยกนี้ และมีหญิงชรากำลังเดินข้ามถนนเช่นนี้ เมื่อเธอเดินมาถึงกันชนหน้ารถของคุณ คุณตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ช่างเหมือนกับสิ่งที่คุณกำลังระลึกถึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วคุณก็รู้ตัวว่าคุณไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ความรู้สึกคุ้นเคย(ที่คุณนึกถึง)นี้จึงหายไป

การศึกษามากมายบ่งชี้ว่า 50-90% ของคนเราเคยมีประสบการณ์เดจาวูเช่นนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงชีวิต เราเคยสัมผัสความรู้สึกคลุมเครือว่าเคยประสบเหตุการณ์หนึ่งมาก่อน ซึ่งเหมือนกันทุกรายละเอียด แม้ว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อไร ความรู้สึกดังกล่าวมักจะอยู่นาน 2-3 นาทีเท่านั้น เด็กและวัยรุ่นมักจะสัมผัสเหตุการณ์เหมือนฝันนี้มากกว่าในผู้ใหญ่ แต่คนทุกวัยล้วนเคยสัมผัสกับเดจาวูทั้งสิ้น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาทั้งเหนื่อยล้าและตื่นตัวเกินไปจากความเครียด มีเพียงบางคนเท่านั้นมีความรู้สึกตรงข้ามกับเดจาวู ซึ่งเรียกว่า jamais vu ซึ่งเมื่อพวกเขาพบกับสถานที่หรือบุคคลที่เหมือนคุ้นเคย พวกเขากลับยืนกรานว่าพวกเขาไม่เคยเห็นบุคลคลหรือสถานที่นั้นมาก่อน

คำว่า “déjà vu” เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “เคยเห็นมาก่อน” อาจจะถูกใช้ครั้งแรกในปี 1876 โดยแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Émile Boirac
ในช่วงศตวรรษที่ 20 นักจิตเวชศาสตร์ยอมรับคำอธิบายของเดจาวูที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) คือ ความพยายามที่จะระลึกถึงความจำที่ถูกปิดบังไว้ ทฤษฎีนี้ยังบ่งชี้อีกว่า เหตุการณ์เดิมอาจจะเชื่อมโยงกับความทุกข์ทนและอาจจะถูกปิดกั้นจากการจดจำตอนที่มีสติอยู่ (conscious recognition) ซึ่งมีการเชื่อมต่อกับความจำช่วงเวลาสั้นๆ เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงที่เกิดขึ้นทีหลังอาจจะไม่ทำให้ระลึกออกมาชัดเจนนัก แต่อาจจะทำให้ระลึกถึงเหตุการณ์เดิมโดยคิดไปเอง

หลายคนที่เคยมีประสบการณ์เดจาวูจะมีความคิดผิดๆ เหมือนกันคือ ปรากฏการณ์นี้ต้องเกิดจากพลังลึกลับอะไรสักอย่างหรืออาจจะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อชาติก่อนกลับชาติมาเกิด พวกเขาให้เหตุผลว่าจากความคิดเชิงตรรกะและการรับรู้ที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นทันทีทั้งก่อนและหลังปรากฏการณ์ พลังลึกลับบางอย่างเท่านั้นที่เป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลที่สุด

นักวิทยาศาสตร์ (ที่ไม่พอใจกับการคาดเดาเช่นนั้น) ได้ค้นหาร่องรอยเกี่ยวกับสาเหตุทางกายภาพเบื้องหลังเดจาวู แต่การตรวจสอบพิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ยากมาก เพราะว่าเดจาวูไม่เคยมีสัญญาณการเกิดล่วงหน้าเลย นักวิทยาศาสตร์จึงอาศัย(ถูกบังคับให้ใช้)ความจำของผู้ถูกทดสอบเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อพิจารณาเรื่องราวจำนวนหนึ่ง มันได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเริ่มให้คำอธิบายได้ว่าเดจาวูคืออะไรและทำไมมันถึงเกิดขึ้นได้


ไม่ใช่ประสาทหลอน

จุดเริ่มต้นจุดหนึ่งคือ การแยกเดจาวูออกจากประสบการณ์การรับรู้ที่ผิดปกติอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ฉากต่างๆ ในเดจาวูไม่ใช่ภาพหลอนประสาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตื่นตัวที่มากเกินไปของการมองเห็น การฟัง หรือประสาทสัมผัสอื่นๆ ที่ถูกกระตุ้นโดยความไม่สมดุลภายในสมองไม่ว่าจากความผิดปกติทางจิตหรือสารเคมีที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางเช่น LSD เป็นต้น และมันก็แตกต่างจากความจำเท็จ (false memory, false recognition, Fausse reconnaissance) อีกด้วย ภาวะดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นกับโรคจิตเพท (schizophrenia) และเกิดขึ้นนานเป็นชั่วโมง

ผู้ป่วยโรคลมชักจากความผิดปกติของสมองส่วนกลีบขมับ (temporal lobe epilepsy) ก็มีประสบการณ์คล้ายคลึงกับเดจาวูเช่นกันตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยชายในประเทศญี่ปุ่นสารภาพว่า เขากลับมามีชีวิตใหม่บ่อยครั้งตลอดระยะเวลาหลายปีของชีวิตและการแต่งงานของเขา
เขาจึงพยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหนีวัฏจักรนี้ไป แต่ปรากฏการณ์นี้แตกต่างจากเดจาวูอย่างเด่นชัดคือ คนที่เป็นโรคลมชักจากความผิดปกติของสมองส่วนกลีบขมับจะเชื่อถือประสบการณ์ของตนเองอย่างหนักแน่นว่าเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีต ในขณะที่เดจาวู คนๆ คนนั้นจะรู้ทันทีว่ามันคือภาพลวงตาและไม่มีเหตุผล

การสำรวจที่เราทำขึ้นเมื่อหลายปีก่อนกับนักศึกษามากกว่า 220 คนที่มหาวิทยาลัยมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther University) ในเมืองฮัลวิทเทนแบร์ก (Halle-Wittenberg) ในประเทศเยอรมันแสดงให้เห็นว่า หลังจากพวกเขาเคยมีประสบการณ์เดจาวู นักเรียน 80% สามารถระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่คล้ายคลึงได้ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาลืมไปแล้ว ในเนื้อหาของการสำรวจนี้ นักจิตวิทยาการจดจำ (cognitive psychologist) ได้ให้ความสนใจไปยังกระบวนการตอนที่ไม่รู้สึกตัวอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวสร้างความจำที่เกี่ยวกับทักษะและการรับรู้จากประสาทสัมผัสต่างๆ (implicit/declarative memory) ฉากเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราลืมไปนานแล้วและไม่สามารถเรี
ยกกลับมาตอนที่มีสติได้ แม้ว่าพวกมันยังไม่ได้ถูกลบไปจากเครือข่ายเซลล์ประสาทของเราก็ตาม ลองนึกถึงเมื่อเรากำลังมองตู้ถ้วยชามเก่าที่ตลาดนัดอยู่ และทันใดนั้น มันดูคุ้นเคยกับเราอย่างน่าประหลาดเหมือนกับคุณเคยมองเช่นนี้มาก่อน สิ่งที่คุณได้ลืมไปแล้วหรือไม่สามารถเรียกกลับมาได้มากกว่านี้ก็คือตอนคุณยังเล็ก คุณยายของคุณเคยมีตู้เก็บถ้วยชามเหมือนกันนี้ที่บ้านนั่นเอง

ในปี 1963 โรเบิร์ต เอฟรอน (Robert Efron) แห่งโรงพยาบาลทหารผ่านศึกในเมืองบอสตันทดสอบข้อสงสัยนี้ เขาสรุปการทดลองว่า สมองส่วนขมับซีกซ้ายทำหน้าที่แยกแยะข้อมูลที่เข้ามาให้ถูกต้อง เขายังพบอีกว่า พื้นที่นี้รับสัญญาณจากกลไกการมองเห็น 2 ครั้ง ซึ่งห่างกันเพียงไม่กี่มิลลิวินาที โดยสัญญาณหนึ่งเข้ามาโดยตรงและอีกสัญญาณหนึ่งอ้อมมาทางสมองซีกขวา ด้วยเหตุบางประการ เมื่อความล้าข้าเกิดขึ้นที่ทางแยก สมองส่วนขมับซีกซ้ายอาจจะจดเวลาที่เกินมากับสัญญาณที่สองที่มาถึงและอาจจะแปลงสัญญาณเป็นฉากเหมือนกับมันเกิดขึ้นมาแล้ว

ทฤษฎีการรับรู้สองครั้ง (double preception) ของเอฟรอนยังไม่มีการรับรองหรือปฏิเสธแต่อย่างใด แต่พบว่า สมองส่วนหน้ามีบทบาทในการตัดสินใจ ผู้ป่วยบางคนที่สมองส่วนนี้ถูกทำลายรายงานว่
าพวกเขามีประสบการณ์เดจาวูบ่อยครั้ง ดังนั้น คนที่เป็นโรคลมชักจากความผิดปกติของสมองส่วนกลีบขมับที่มีอาการคือ การเป็นลม (seizure) จะเกิดขึ้นในสมองส่วนหน้า ซึ่งจะสร้างภาพหลอนประสาทเสมือนจริงที่เหมือนกับความจำ นักวิจัยบางคนจึงคิดว่า เดจาวูเป็นการล้มเหลวของวงจรเล็กๆ ภายในสมองเท่านั้น

การสังเกตการณ์ในช่วงทำศัลยกรรมประสาทยังคงชี้ไปที่สมองส่วนหน้า การสังเกตการณ์อันแรกมาจากนักประสาทศัลยแพทย์ (neurosurgeon) แห่งสถาบันประสาทวิทยามอนทรีอัลชื่อ ไวล์เดอร์ เพนฟิลด์ (Wilder Penfield) ในช่วงปี 1950 ได้ทำการทดลองที่ปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก โดยเขากระตุ้นสมองส่วนหน้าด้วยไฟฟ้าระหว่างที่ผ่าตัดเปิดสมอง คนไข้มักรายงานถึงภาวะคล้ายกับฝันและเดจาวูในช่วงการกระตุ้น ผลการทดลองที่คล้ายคลึงกันมาจากรายงานวิจัยปี 1994 ของฌอง บองค็อด (Jean Bancaud) และคณะแห่งศูนย์พอลโบรกา (Paul Broca Center) ในกรุงปารีส การกระตุ้นสมองส่วนหน้าด้านข้างหรือกลางบางครั้งจะกระตุ้นภาวะที่เหมือนฝันรวมถึงเดจาวูในขณะที่ไม่มีสติอีกด้วย

ความจำที่ปราศจากหลายความจำ

แม้ว่ายังมีคำถามว่าการชักนำให้เกิดเดจาวูที่ทำขึ้นมานั้นคล้ายคลึงกับที่เกิดในธรรมดาได้ดีแค่ไหน แต่การค้นหาก็ยังน่าสนใจอยู่ ในที่สุด นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า สมองกลีบขมับส่วนกลาง (medial temporal lobe) เกี่ยวข้องกับความจำเกี่ยวกับทักษะและการรับรู้จากประสาทสัมผัสต่างๆ ขณะมีสติ (declarative, conscious memory) โดยตรง เรายังสามารถพบส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ในสมองส่วนนี้อีกด้วย ฮิปโปแคมปัสช่วยจดจำเหตุการณ์ที่รับเข้ามาเป็นตอนๆ และเป็นไปได้ว่าจิต (mind) ของเราเป็นตัวระลึกถึงเหตุการณ์เหล่านี้ออกทีหลังราวกับว่าเรากำลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง


ส่วน parahippocampal gyrus, rhinal cortex และ amygdala ที่อยู่ในสมองส่วนหน้ากลางมีความเกี่ยวข้องกับความจำอย่างมาก ในปี 1997 จอห์น ดี. เกรเบรียลลี (John D. E. Gabrieli) และผู้ช่วยของเขาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมีหลักฐานว่า ส่วน hippocampus มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวเก็บเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาตอนที่ยังมีสติอยู่ และส่วน parahippocampal gyrus เป็นตัวแยกแยะการกระตุ้นที่คล้ายกันและไม่คล้ายกัน และกู้ความจำเป็นตอนๆ ของเรากลับมา

หลายพื้นที่ของสมองอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างเดจาวูขึ้น เมื่ออารมณ์(ของปรากฏการณ์นี้)ที่เกิดขึ้น (ซึ่งถูกกระตุ้นโดยความรู้สึกแปลกใจจากตัวเองและจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเช่นเดียวกับการสูญเสียการรับรู้เรื่องเวลา) บ่งชี้ว่ามีกระบวนการที่ซับซ้อนกำลังทำงานอยู่ เมื่อเดจาวูเกิดขึ้น เราจะสงสัยถึงความเป็นจริงสักครู่หนึ่ง สำหรับนักประสาทวิทยาศาสตร์แล้ว ความผิดพลาดเล็กน้อยเหล่านี้ให้ความเข้าใจที่ไม่คุ้มค่าสำหรับงานทางด้านสมปฤดีหรือความรู้สึกตัว (consciousness) เลย งานวิจัยเรื่องปรากฏการณ์เดจาวูต่อๆ ไปจะช่วยอธิบายไม่เฉพาะว่าเราหลอกลวงความจำเราได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังช่วยบอกว่าสมองสามารถสร้างสิ่งลวงตาเสมือนจริงได้อย่างไรอีกด้วย

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเสนอว่า เราอาจจะรับรู้ถึงตัวบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่คุ้นเคยได้ถ้าช่วงชีวิตเราก่อนหน้านี้เคยสัมผัสกับประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันเพียงส่วนหนึ่ง แม้ว่ามันจะมีรายละเอียดต่างกันก็ตาม บางทีเมื่อเรายังเด็ก แม่ของคุณเคยแวะที่ตลาดนัดขณะที่ไปเที่ยวพักร้อนกันและร้านค้าหนึ่งกำลังร้องขายตู้ถ้วยชามอยู่ หรือบางทีคุณอาจจะเคยได้กลิ่นที่เกิดในตลาดนัดที่คุณเคยไปในช่วงวัยเด็ก องค์ประกอบเดียว (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ติดอยู่ในช่วงที่คุณยังมีสติอยู่) สามารถกระตุ้นความรู้สึกคุ้นเคยได้จากความผิดพลาดในการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบ(ในฉาก)ในปัจจุบัน

ความสนใจที่ไม่เพียงพอ

สมมติฐานเหล่านี้ซึ่งพบได้ในกระบวนจัดการข้อมูลในช่วงไม่มีสติมีผลต่อการเกิดเดจาวูในช่องว่างของระบบความสนใจเช่น คุณกำลังขับรถไปตามถนนที่ติดขัดและคุณกำลังจดจ่อกับการไหลของรถ หญิงชราคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนทางเดิน คุณเห็นเธอด้วยภาพทางด้านข้าง(มองด้วยหางตาน่ะครับ) แต่คุณไม่ได้สนใจเธอ หนึ่งวินาทีต่อมา คุณได้หยุดรถที่ทางแยก ตอนนี้คุณมีเวลาที่มองไปรอบๆ ขณะที่คุณจ้องหญิงชราที่กำลังค่อยๆ เดินลงจากทางเดินมายังทางม้าลาย ทันใดนั้นหญิงชราคนนั้นช่างดูคุ้นเคย แม้ว่าคุณไม่เชื่อว่าคุณเคยเห็นเธอมาก่อนและคุณรู้ว่าคุณไม่เคยอยู่ที่สี่แยกนี้มาก่อนก็ตาม จะเห็นว่าภาพแรกของหญิงชราที่คุณรับรู้ในช่วงที่วอกแวกถูกตามด้วยภาพที่สองขณะที่คุณอยู่ในช่วงตื่นตัวอย่างเต็มที่ เนื่องจากข้อมูลที่รับไม่ได้อยู่ในความสนใจตอนที่มีสติก่อนหน้านี้ ทำให้มันถูกแปลความหมายผิดกลายเป็นความจำระยะยาว

การศึกษาหลายอันในเรื่องความตื่นตัวของจิตใต้สำนึกได้สนับสนุนทฤษฎีนี้ ในปี 1989 ทีมที่นำโดยนักจิตวิทยาชื่อแลร์รี แอล. จาโคบี (Larry L. Jacoby) ซึ่งตอนนี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ให้ผู้ถูกทดสอบรวมกันอยู่ในห้องและฉายภาพขึ้นจอที่มีคำเพียงหนึ่งคำอย่างรวดเร็ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนดูที่จะจดจำคำนั้นได้ แต่ร่องรอยจากการมองเห็นจะถูกบันทึกไว้สักที่หนึ่งภายในศูนย์กลางการมองเห็นในสมอง หลังจากนั้น เมื่อจาโคบีฉายภาพเดิมอีกครั้งในระยะเวลาที่นานขึ้น ผู้ถูกทดสอบอ้างอีกครั้งว่าเคยเห็นคำนี้มาก่อน การดำเนินการของตัวกระตุ้นใต้ระดับในภาวะที่ไม่มีสติทำให้ตัวกระตุ้นที่คล้ายคลึงที่รับรู้ทีหลังถูกดำเนินการด้วยอัตราที่เร็วขึ้นมาก กระบวนการนี้เรียกว่า การเตรียมพร้อม (priming) ซึ่งได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง

การเตรียมพร้อมและวิธีการอื่นๆ ดูเหมือนจะเหมาะสมกับโอกาสทั่วไปที่จะเกิดเดจาวู ในช่วงต้นปี 1990 เจอราร์ด เฮย์แมนส์ (Gerard Heymans) ผู้ก่อตั้งวิชาจิตวิทยาในประเทศเนเธอแลนด์ได้ติดตามนักเรียน 42 คนเป็นเวลา 6 เดือน นักเรียนเหล่านี้ได้ตอบแบบสอบถามอย่างรวดเร็วภายหลังจากเกิดเดจาวูขึ้น เฮย์แมนส์สรุปว่า คนที่มีอารมณ์ขึ้นลงหรือไร้อารมณ์เป็นพักๆ เช่นเดียวกับคนที่มีรูปแบบการทำงานไม่แน่นอนจะมีโอกาสเกิดเดจาวูขึ้นได้มากกว่า ผู้สังเกตอื่นๆ ได้รายงานว่า พวกเขามีแนวโน้มเกิดเดจาวูมากขึ้นเมื่อพวกเขารู้สึกเหนื่อยล้ามากและมีความเครียดสูง

ในการศึกษาอื่นที่ทำขึ้นในเมืองฮัลวิทเทนแบร์กในปัจจุบัน 46% ของนักเรียนกล่าวว่า พวกเขาอยู่ในช่วงผ่อนคลายเมื่อเดจาวูเกิดขึ้น โดย 1 ใน 3 อธิบายว่าถึงสภาวะของพวกเขาว่ามีความสุข ดูเหมือนว่าขณะที่เดจาวูอาจจะถูกกระตุ้นในช่วงที่มีความตึงเครียดสูงสุดเมื่อคนๆ หนึ่งกำลังตื่นตัวสุดขีด แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าเมื่อคนๆ หนึ่งเหนื่อยล้าและความสนใจเริ่มลดลง งานวิจัยชิ้นใหม่ยังบ่งชี้ว่า เดจาวูอาจจะเกิดขึ้นในคนที่หมกหมุ่นเรื่องความเพ้อฝันและฝันกลางวันได้มากกว่า

การมองเห็นที่ล่าช้า

การเข้าใจถึงหลักการทางประสาทวิทยาของเดจาวูอาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบตัวกระตุ้น แต่เราเข้าใจการเชื่อมต่อของระบบประสาทเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หลายปีมาแล้ว ทฤษฎีหนึ่งที่โด่งดังได้เสนอว่า เดจาวูเกิดมาจากการส่งถ่ายข้อมูลทางประสาทวิทยาที่ล่าช้า เมื่อเรารับรู้ ชิ้นส่วนข้อมูลต่างๆ จากระบบหรือกลไกทางประสาทต่างๆ จะเข้ามาในศูนย์จัดการข้อมูลภายในเซเรบรัมแล้วรวมชิ้นส่วนมูลต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา มันสมเหตุสมผลว่า ความล่าช้าจากการส่งถ่ายข้อมูลอาจจะทำให้เกิดควสามผิดพลาดแล้วสร้างเป็นเดจาวูขึ้นมา



แปลและเรียบเรียงจาก

Strangely Familiar: Researchers are starting to pin down what déjà vu is and why it arises. But have you read this already? Maybe you just can't remember
By Uwe Wolfradt


วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550

หน่วย 731 ของ ญี่ปุ่นใน WII เรื่องแปลจาก Japan at War มันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง...

http://www.b-take.com/coffee1001/731-1.htm

เปิดโปงความลับมรณะ น้ำมือทหารญี่ปุ่น ที่เป็นชนวนในใจคนจีน ตราบทุกวันนี้
เรื่องโดย นิโคลาส ดี คริสทอฟ
(เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ นิวยอร์คไทม์ส คัดลอกมา)
แปลโดย :ไม้เก่าลายงาม

สารบัญ

* การชำแหละมนุษย์สดๆโดยไม่ใช้ยาสลบ
* เหตุผลในการชำแหละ
* ใครเป็นผู้ที่ทำการทดลองอันโหดระห่ำนี้?
* ทำไมคนพวกนี้ไม่ถูกลงโทษให้ตายตกตามกันไปซะ?
* แหล่งกำเนิดของการทดลองสงครามเชื้อโรค?
* สงครามเชื้อโรคญี่ปุ่นที่จะใช้กับจีน
* ความรู้ที่ได้มาโดยต้องแลกด้วยชีวิตมนุษย์จำนวนมหาศาล
* การทดลองกับทารก
* ขอบข่ายของการทดลองโดยใช้มนุษย์
* แผนการที่จะนำสงครามเชื้อโรคไปปล่อยที่สหรัฐอเมริกา
* แผนการถูกล้มเลิกเพราะญี่ปุ่นกลัวว่าจะถูกสหรัฐอเมริกาแก้คืนเจ็บกว่า
* แม้ในปัจจุบันพวกฆาตกรยังใจด้านแทบไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งชั่วๆที่ได้กระทำไป
* แล้วมันน่าจะเกิดขึ้นอีกไหมเนี่ย?

โมริโอกะ ญี่ปุ่น

เขา คือ ชาวนาชราที่มีอารมณ์ขัน ที่กำลังเสิร์ฟอาหาร ที่ปรุงโดยภรรยาของเขาให้เรารับประทาน แล้วเขาก็เปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลัน เขาเล่าเรื่องให้เราฟังถึง การที่เขาผ่าเปิดชำแหละชายจีนอายุ 30 ปี ที่ถูกมัดกับเตียง ในสภาพเปลือย และลงมือผ่า ทั้งๆที่ยังเป็นๆอยู่ โดยไม่ใช้ยาสลบ (แทบกลืนอาหารไม่ลง!)

"หนุ่มคนนั้น รู้ซึ้งใจในสัจจธรรมว่า อั๊วโดนแน่ๆเลี๊ยว! ไม่มีปาติหังอะไรๆ จะช่วยอั๊วล่าย! ในขณะที่เขาถูกจับเข้ามาในห้อง จึงไม่ได้พยายามขัดขืนอะไรเลย เขาถูกจับให้นอนลง และมัดไว้กับเตียง" ชาวนาวัย 72 ระลึกถึงความหลังแสนภูมิใจ ขณะที่เคยเป็นผู้ช่วยแพทย์ อยู่ในหน่วยกองทหารญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในจีน

"พอเมื่อผมเริ่มหยิบมีดผ่าตัดนั่นแหละ ! เขาเริ่มแผดเสียงร้องชนิดที่ เอาว่า หลอดแตกละกัน! แต่ผมไม่รู้สึกรู้สม จึงเริ่มผ่าเปิดเขา ตั้งแต่ช่วงอก ลงมาถึงช่องท้อง คุณเอ๊ย! เสียงแผดร้องของเขานั้นนะ มันสุดที่จะโหยหวน ฟังน่าสยดสยอง ใบหน้าเขานะ ก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย อย่างสุดที่จะบรรยาย ผมก็กรีดไปเรื่อยๆ ซึ่งเสียงร้องนั้นเป็นเสียงที่ไม่น่าเชื่อว่า จะใช้จินตนาการได้เลยละกัน เสียงแผดร้องของเขานั้น ฟังอันน่ากลัวมาก..ก..ก จนที่สุด! เสียงก็เงียบลง นี่คือ งานแค่ในหนึ่งวันของผม ที่ทำร่วมกับกลุ่มแพทย์ผ่าตัด แต่มันยังคงประทับใจผมเสมอมา เพราะนั่น เป็นครั้งแรกของผมทีเดียวนะคุณ ! "

ในที่สุด ชายชราที่ยืนยันว่าไม่ประสงค์จะออกนาม ก็อธิบายถึงเหตุผล อันสุดจะฟังขึ้นของการชำแหละมนุษย์ (โดยไม่ยอมให้ยาสลบก่อน)ว่า : นักโทษเชลยชาวจีนคนนั้น ถูกเจตนาทำให้ติดเชื้อโรค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย ที่เราตั้งใจจะศึกษากันโดยเฉพาะทีเดียวนา! แต่แค่นี้ไม่เท่าไหร่ร๊อก! อานุภาพที่น่ากลัวจริงๆของมัน ยิ่งกว่าจุดนั้นเยอะ เรามีเป้าหมาย ที่มุ่งจะพัฒนาระเบิดเชื้อโรคไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างหาก หลังจากที่ ได้ทำให้นักโทษติดเชื้อโรคนั้นแล้ว นักวิจัยทั้งหลายก็ต้องผ่าชำแหละเขาออกมา เพื่อที่จะศึกษาดูให้เห็นว่า ผลของเชื้อโรคที่ใส่เข้าไปนั้น มีต่อภายในร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้าง?

"โครงการวิจัยนั้น เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของพวกเราชาวญี่ปุ่น ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 : โครงการใหญ่ไพศาล ที่เราต้องการจะคิดค้น อาวุธสงครามชีวภาพ รวมกับเชื้อโรคระบาด แอนแทรกซ์ อหิวาตกโรค และเชื้ออื่นๆอีกนับสิบ หน่วย 731 โดยกองทัพแห่งองค์จักรพรรดิญี่ปุ่น เป็นผู้ควบคุมและทำการวิจัย โดยทดลองกับคนจริงๆ และทำการทดลองระเบิดเชื้อโรคทั้งในแล็บ และ 'ภาคสมรภูมิ' โดยให้ทิ้งลงในเมืองต่างๆของจีนหลายๆเมือง เพื่อจะดูผลซิว่า เชื้อโรคเหล่านั้น จะสามารถแพร่ระบาดได้ดีรึไม่? ขอบอกว่า ใช้ได้เลย!"

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องโครงการสงครามเชื้อโรคนี้ ค่อยเล็ดลอดออกมา จนหนาหูทีละเล็ก ทีละน้อย กลายเป็นกระแส จนในปัจจุบัน กระแสนั้นก็เชี่ยวกราด เวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลงไป มีหนังสือหลายเล่ม เอกสารบทความหลายฉบับ นิทรรศการต่างๆ ได้ตีพิมพ์เปิดโปงเบื้องหลังในอดีต เกี่ยวกับการต่างเหล่านี้ เน้นการปลุกเร้าความสนใจให้พุ่งไปที่ ความชั่วร้าย ของคนญี่ปุ่น จากการกระทำในอดีตของพวก แพทย์ญี่ปุ่นแหกคอก (คอกพังไปเป็นแถบๆ)

นักศึกษาและสมาชิกเก่าๆของหน่วย แจ้งว่า จากการการทดลองหลายๆครั้ง มีมนุษย์ดีๆพื้นๆ อย่างน้อย 3,000 คน ต้องถูกฆ่าตาย เพื่อสังเวยการทดลองเฉพาะในห้องแล็บอันเถื่อนระห่ำนี้ ; ซึ่งก็ไม่มีใครรอดมาได้เลย ตายสถานเดียว! แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่า เป็นจำนวนอีกเท่าไร? ที่ต้องตายไปอีก จากการทดลองใน 'ภาคสมรภูมิ'

มีหลักฐานแสดงถึงว่า ทหารญี่ปุ่นที่ทำงานในโครงการนี้ พวกเขาตั้งใจที่จะใช้อาวุธเชื้อโรคนี้ กับสหรัฐอเมริกา โดยใช้ระเบิดบอลลูน ที่บรรจุเชื้อโรคไว้ในนั้น แล้วปล่อยให้ล่องลอยไป ยังประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ.1945 และใช้นักบินคามิกาเซ่ ขับเครื่องบินพลีชีพไปปล่อยเชื้อโรคแพร่ระบาด เสริมอีกในซาน ดิเอโก

จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การวิจัยนี้ ก็ยังคงถูกปิดเป็นความลับต่อไป มีเหตุผลบางส่วนว่า เหตุที่กองทัพสหรัฐได้ละเว้นโทษประหาร แก่เหล่าหมอนักวิจัย(เลือดเย็นเฉียบ) อาชญากรสงครามพวกนั้น เพื่อที่จะแลกเอาข้อมูลการวิจัย ที่สหรัฐอยากได้นั่นแทน จึงช่วยปิดบังต่อไป ในเรื่องการทดลองระโหดโดยใช้มนุษย์ และยังคงให้พวกหัวโจกเหล่านั้น ดำเนินการวิจัยต่อ ไม่พอ ยังแถมเงิน(ค่าจ้าง)ให้อีกสิ!

แต่การฆ่าที่โหดเหี้ยม ก็ยังถูกแฉออกมาให้ผู้คนได้อ่านอีกจนได้แหละ! ถึงแม้ว่า เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม : มีตัวอย่าง รายงานว่า แม่และเด็กลูกสาวชาวรัสเซียผู้น่าสงสาร ถูกจับเข้าห้องทดลองอัดแก็สพิษ โดยที่มีเหล่าแพทย์นักวิจัยใจสัตว์พวกนั้น ก็เฝ้าเพ่งมองผ่านกระจกหนาในอีกห้องหนึ่ง ทำการจับเวลาดูอาการชักดิ้นชักงอ ทุรนทุราย พวกเขาเฝ้ามองดู อย่างเลือดเย็น ขณะที่แม่นั้นหมดลมตายเหยียดแข็ง บนศพลูกสาว ในสภาพที่ดูออกเลยว่า จะพยายามอย่างยิ่งยวด ถึงแม้รู้ว่าป่วยการ แต่ด้วยความรัก และต้องการที่จะปกป้องช่วยเหลือ ลูกของตน จากการสูดดมแก็สพิษ

แหล่งกำเนิดของสงครามเชื้อโรค

โครงการอาวุธทางชีวภาพของญี่ปุ่น ได้ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.1930 ลงไปได้เพียงบางส่วน เพราะสาเหตุว่า โครงการวิจัยของทหารญี่ปุ่นนี้ได้ถูกควบคุม และห้ามจากสนธิสัญญาขั้นต้นแห่ง เจนีวา ในปี ค.ศ.1925 แต่ถ้าหากว่า มันน่ากลัวมากขนาดนั้น มันสมควรจะถูกสั่งห้ามไม่ให้วิจัย ภายใต้กฎหมายนานาชาติไปแล้ว เพราะจุดมุ่งหมายของพวกทหาร ก็คือ ต้องการจะสร้างอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพ การทำลายล้างอันยิ่งใหญ่มหาศาล ให้อุบัติขึ้นในโลกนั่นเอง!

ช่วงนั้นของโครงการ บรรดากองทหารญี่ปุ่น ได้เข้ามายึดพื้นที่อยู่กันเต็มพรืดไปหมดในจีน โดยพวกทหารเหล่านี้ ได้ขับไล่ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ออกไปจำนวน 8 หมู่บ้าน ในเขตใกล้ๆกับ เมือง Harbin ในแมนจูเรีย เพื่อปูทางไว้เป็นที่ตั้ง ฐานบัญชาการของหน่วย 731 ญี่ปู่นมองเห็นข้อดีหลายจุด ที่มาตั้งฐานบัญชาการในจีน เพราะว่า จะได้ทดลองในหัวข้อเชื้อโรคระบาด ที่มีชื่อว่า มารูท่าส์ หรือ ขอนไม้ และคนแถบนี้นั้น ก็เป็นชาวคอมมิวนิสต์ ที่น่าสงสาร น่าสังเวช หรือ พวกเชลยสงคราม ซึ่งก็อีกนั่นแหละ ส่วนใหญ่ คือ คนจีน นอกจากนั้น ยังมีชาวรัสเซียที่โอนสัญชาติ มาอาศัยในจีน ก็โดนด้วยแน่!

ทาเคโอะ วาเน วัย 71 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือแพทย์ ในหน่วย 731 ซึ่งในปัจจุบัน ยังมีชีวิต อาศัยอยู่ที่เมือง โมริโอกะ ทางเหนือของญี่ปุ่น เล่าว่า ครั้งหนึ่ง เขาได้เห็น โอ่งแก้วสูง 6 ฟิต ซึ่งในโอ่งนั้น มีชายชาวตะวันตก 3 คน ถูกแช่ดองในน้ำยาฆ่าเชื้อโรคชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์แสบจมูก ศพชายถูกตัดตามแนวตั้ง แบ่งเป็น 2 ท่อน และ วาเน เดาว่า น่าจะเป็นชาวรัสเซีย เพราะว่า มีคนรัสเซียอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ค่อนข้างมาก

ในฐานบัญชาการของหน่วย 731 มีโอ่งที่เก็บ ตัวอย่างคนดองแบบนั้นเยอะแยะ บางโอ่ง ดองแต่ขา ดองแต่หัวก็มี ดองอวัยวะภายใน และทุกๆโอ่ง จะมีป้ายติดบอกไว้อย่างเรียบร้อยทีเดียว (เหมือนโหลยาดองชูพลัง อะไรทำนองนั้น)

ชายชรา จากหน่วย 731 เล่าให้ฟังว่า "ผมเห็น ตัวอย่างคนดอง ติดป้ายว่า 'อเมริกัน' 'อังกฤษ' 'ฝรั่งเศส' แต่ส่วนมากจะติดว่าเป็นจีน เกาหลี และมองโกเลีย ซะหล่ะมากที่สุด"

แพทย์นักวิจัย ก็ยังปล่อยเชื้อโรค เข้าสู่นักโทษที่ได้คัดสรรแล้วว่า เป็นคนที่แข็งแรงมาก เพื่อดูอาการว่าเมื่อป่วยแล้วเชื้อโรคจะแพร่อย่างไร? พวกแพทย์โหด เหล่านี้ ยังจับคนมาเข้าห้องอัดความดัน เพื่อที่จะดูว่า ร่างกายของมนุษย์นั้น จะทนทานต่อแรงดันได้เพียงใด? ใช้เวลา และแรงดันเพียงใด? ก่อนที่ลูกตาจะหลุดกระเด็นออกมา จากเบ้าตาตามแรงกดอัด

บ่อยมากเลย ที่เหยื่อมนุษย์มากมาย จะถูกจับไปยังสถานที่ทดสอบ เรียกกันว่า 'แอนดา' ที่นั่นพวกเขาจะมัดเหยื่อ ให้ติดกับหลักหลายๆอัน ที่เตรียมไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ จากนั้นก็เริ่มปล่อยระเบิดเชื้อโรคทดลองใส่ไปในร่างกายของเหยื่อมนุษย์เหล่านั้น ต่อไปก็เฝ้ามองดูอาการว่า อาวุธเทคโนโลยีใหม่ของพวกเขานั้น จะทรงประสิทธิภาพ เพียงไหน? ส่วนฝูงเครื่องบิน ก็จะไปทำการโปรยฉีดเชื้อในโซนที่กำหนดไว้ว่าจะทำการทดลอง หรือทิ้งเป็นลูกระเบิดเชื้อโรคระบาดลงมาเลย(ให้มันสะใจ!) เพื่อที่จะดูผลคนจำนวนมากที่ถูกเชื้อฆ่าตาย และเชื้อจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ในการฆ่าคนจำนวนมากได้ตายสนิท จากระยะห่างเท่าไร? ในการระเบิดของเชื้อจากศูนย์กลางที่ทำการทิ้ง

พวกทหารญี่ปุ่น ทำการทดลองสงครามทางชีวภาพภาคสนาม อยู่บ่อยครั้ง เพื่อจะดูผลว่า ทรงประสิทธิภาพเพียงใดเมื่อปฏิบัติการนอกห้องแล็บ ฝูงเครื่องบินทหารนำแมลงเชื้อโรคนั้นไปปล่อยลงแถวๆ Ningbo ในตะวันออกของจีน และ Changde ในทางเหนือตอนกลางของจีน จากนั้น การแพร่ระบาดของโรคก็เกิดขึ้น และถูกบันทึกผลตามมา

ทหารจีนยังปล่อยเชื้อ อหิวาตกโรคและไทฟอยด์ ลงในบ่อน้ำและสระอีกหลายแห่ง แต่ผลการแพร่พันธุ์ของเชื้อยังไม่ดีเท่าที่ควร ในปี ค.ศ. 1942 ผู้เชี่ยวชาญทางสงครามเชื้อโรค ยังปล่อยแพร่เชื้อบิด อหิวาตกโรค และไทฟอยด์ ที่จังหวัด Zhejiang ของจีน แต่เวรกรรมสนอง ส่งผลให้ทหารญี่ปุ่นเอง กลับติดเชื้อโรคระบาดเหล่านี้! และป่วยตายไป 1,700 คน ตามข้อมูลที่ได้นักวิชาการบอกไว้

เชลดอน แฮริส นักประวัติศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนียสเตท ในนอร์ทริดจ์ ชี้ว่า ประชากรชาวจีน มากกว่า 200,000 คน ต้องตายจากการทดลองสงครามชีวภาพภาคสนามของคนญี่ปุ่น แฮมส์ นักเขียน ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับหน่วย 731 "โรงงานแห่งความตาย" ได้ระบุไว้ด้วยว่า แมลงเชื้อโรคเหล่านั้น ถูกปล่อยให้ทำลายมนุษย์ หลังจากที่สงครามได้ยุติลงแล้วด้วยซ้ำไป ต่อจากนั้น ถึงได้ส่งผล ทำให้มีการระบาดของโรคร้ายเกิดขึ้น คร่าชีวิตคน (ที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นเอง) ไปอีกตั้ง 30,000 คน ในเขต Harbin ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 จนถึง 1948

ผู้นำทางวิชาการของหน่วย 731 เคอิจิ ซึนิชิ เกิดความกังขากับจำนวนตัวเลขตั้งมากมายก่ายกอง เขา คือผู้ที่พยายามเหลือเกิน ที่จะเปิดเผยข้อมูล และเถียงว่า การที่หน่วย 731 เข้าไปยึดพื้นที่ ไล่ชาวบ้าน ปล้นฆ่า เผาบ้านเรือน ที่ Ningbo นั้น มีคนตาย แค่ 100 คนเอง! และที่ลือว่ามีเชื้อโรคแพร่พันธุ์ จากการทดลองภาคสนามอะไรนั่น! ก็ไม่เห็นจะมีหลักฐานอะไรเล้ย! ไหนหล่ะหลักฐาน?

ความรู้ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตมนุษย์

การทดลองเหี้ยมห่ำต่างๆนั้น เกิดจากความตั้งใจ ที่จะพัฒนาค้นคว้าวัคซีนตัวใหม่ๆ หรือการรักษาโรคต่างๆ ที่กองทหารญี่ปุ่นต้องเผชิญปัญหาอยู่ การทดลองหลายแขนงถูกปิดเป็นความลับสุดยอด แต่ในปี ค.ศ. 1945 ได้มี รายงาน18 หน้า ที่พวกเขาได้จัดทำขึ้น และถูกเก็บไว้ กับทหารระดับผู้ใหญ่ในกองทัพ จวบจนปัจจุบัน ซึ่งก็รวมถึงมีบทสรุปการวิจัยในหน่วย 731 นี้ด้วย รายงานถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้แก่ทหารระดับชั้นมันสมองกึ๋นสมองของสหรัฐอเมริกา ในรายงานนั้น ระบุถึงการปฏิบัติงานที่เรียกว่า ไม่ใช่ระดับงานธรรมดาสามัญ ก็แล้วกัน!

ในการวิจัยถึงเรื่องที่คนญี่ปุ่นยังไม่รู้ เช่น ประเภทบาดแผล แต่ไม่มีความกระจ่างว่า นักโทษต้องทนทานกับ การเป็นหนูทดลองแค่ไหน? ในหัวข้อเรื่อง "การศึกษาบาดแผลถูกไฟไหม้" และ "การศึกษาลูกปืนที่ฝังอยู่ในสมอง"

ทางวิชาการระบุไว้ว่า การวิจัยนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์บ้าบอเขียนขึ้น หรือกุแต่งขึ้นมา แต่มัน คือ งานค้นคว้าอันเลอเลิศวิเศษสุด ที่เปี่ยมด้วยกึ๋นสมองอันปราดเปรื่องอัจฉริยะ ที่ถูก"ถ่ายทอดและหยิบยก"ออกมา ต่างหากหล่ะ! พวกแพทย์ญี่ปุ่น! ก็ค้นคว้าคิดแต่จะหาวิธี ที่จะช่วยชีวิตแต่คนญี่ปุ่น! แต่เอาชีวิตคนชาติอื่นจำนวนมหาศาล มาทดลองเยี่ยงสัตว์! (ไม่ใช้คนชาติตัวบ้างหล่ะ! มันดีน๊า! แบบนี้ เขาเรียกว่าอะไรเอ่ย?)

ยกตัวอย่างเบาๆอ่านเพลินๆ เช่น หน่วย 731 พิสูจน์แล้วว่า การรักษาแผลแขนที่บวมจากความเย็นมากๆนั้น คือ ต้องไม่ไปถูที่แขนตามวิธีรักษาแบบเดิมๆ แต่ให้แช่แขนที่บวมในน้ำอุ่นที่ค่อนข้างร้อน ประมาณ 100 ดีกรีเอง แต่ห้ามร้อนกว่า 122 ดีกรี

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้มานั้น ต้องแลกกับมนุษย์ที่ถูกจับขังไว้ เป็นสัตว์ทดลอง พวกเขามีแผลบวมที่แขน จะถูกนำตัวออกไปทำตามขั้นตอน โดยให้แช่แขนลงในน้ำอุ่นที่ค่อนข้างร้อน(อย่างนี้ ที่บ้านดิฉันเค้าเรียก น้ำร้อนค่ะ) เป็นช่วงๆ จนผู้คุมลงความเห็นว่า แผลเริ่มเข้าที่แล้ว จากหลักฐานระบุไว้ว่า กว่าที่ทหารญี่ปุ่นผู้คุม จะลงความเห็นว่าเข้าที่ได้นั้น ก็คือ "หลังจากที่แขนนั้นถูกทุบตีตีด้วยไม้ท่อนสั้นๆ(ขนาดน่ารัก) ขอไม่กล่าวถึงเสียงร้อง และเสียงขณะที่ไม้ทุบตีกระทบแผลที่แขนของคนเหล่านั้น ดีกว่า!"

วารสารที่ตีพิมพ์ในญี่ปุ่น หลังจาก งานนิทรรศการเกี่ยวกับ หน่วย 731 ระบุว่า แพทย์พวกนั้น ยังทดลองแม้กระทั่ง มนุษย์ทารกที่เกิดมาได้เพียง 3 วัน เพื่อวัดอุณหภูมิ โดยใช้เข็มแทงเข้าไปในนิ้วกลาง ของทารกน้อย (มนุษย์จริงๆเพิ่งเกิดมา ยังเป็นๆนะคุณ!)

"ซึ่งตามปกติแล้ว มือของเด็กทารกวัย 3 วันนั้น จะกำหมัดแน่น" ตามวารสารบอก "แต่พอเสียบเข็มแทงเข้าไป ที่นิ้วกลาง ทำให้นิ้วทารกนั้นเหยียดกาง ซึ่งก็เพื่อจะได้ง่ายแก่การทดลอง ในหัวข้อเรื่องอื่นๆ ต่อไป"

ขอบข่ายในการทดลองโดยใช้มนุษย์

การทดลองโดยใช้มนุษย์เช่นนี้ ไม่ใช่มีทำเพียงในหน่วย 731เท่านั้น ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่กระทำปฏิบัติการโหดเยี่ยงนี้อีก! แต่ก็ไม่กระจ่างนัก ว่าองค์จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต จะทรงทราบเรื่อง การระรานเผา ปล้น ฆ่า หรือไม่?(คุณว่าทรงทราบไหม?) แต่พระอนุชา เจ้าชาย มิคาซ่าได้เสด็จไปเยือน ฐานบัญชาการหน่วย 731 ที่ในจีน และทรงจดบันทึกเรื่องราวที่พระองค์ ได้ทรงทอดพระเนตร จากภาพยนตร์ที่ถ่ายไว้ ถึง "การเดินเท้าของนักโทษจีน ไปยังที่ราบแมนจูเรีย เพื่อการทดลองแก็สพิษ"

มีข้อมูลเพิ่มเติมจาก นายแพทย์ เคน ยัวซ่า วัย 78 ปี ซึ่งปัจจุบัน เปิดคลีนิคอยู่ที่โตเกียว แนะเสริมว่า การทดลองโดยใช้มนุษย์นั้น มีกระทำกันเป็นประจำแหละ ไม่แต่เฉพาะในหน่วย 731 นี่หรอก ยัวซ่า เป็นหมอทหารในหน่วยอื่น ช่วงสงครามจีน แต่ไม่ได้อยู่ในหน่วย 731 และก็ไม่เคยได้มีการติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ

แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ! หมอยัวซ่า เล่าว่า ช่วงที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์ ในญี่ปุ่น พวกนักศึกษาแพทย์จะทราบว่า แพทย์สามัญคนไหนก็ตาม ถ้าได้เดินทางไปศึกษาเรื่องการแพทย์ที่จีนแล้วละก้อ! จะได้ศึกษาเรื่องการผ่าชำแหละคนไข้ (ในหน่วยอื่น ไม่ต้องเฉพาะ 731) และก็แน่นอนที่สุด เมื่อหมอยัวซ่าเดินทางถึง จังหวัด Shanxi อยู่ภาคเหนือตอนกลางของจีนใน ค.ศ.1942 พักหนึ่ง เขาก็ขอเข้าร่วมศึกษา "ภาควิชาทดลองการผ่าตัด"ด้วย

ชายจีน 2 คนตัวเป็นๆ ถูกนำเข้ามาในห้อง เขาทั้งสองถูกเปลื้องผ้าผ่อนออกหมด และให้ยาสลบตามปกติ จากนั้นหมอยัวซ่าและหมอคนอื่นๆ ก็เริ่มบรรเลงการทดลองผ่าชำแหละ ในหลายๆหัวข้อ : หนึ่ง การผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าแขนและสุดท้าย การผ่าตัดตา หลังจาก 90 นาทีผ่านไป การศึกษาจบลง คนไข้ที่ถูกนำมาใช้ทดลอง ก็จะถูกฆ่า โดยฉีดยาให้ตายไปซะ

ต่อมา เมื่อหมอยัวซ่าได้เป็นแพทย์ผู้อบรม โดยมีคนไข้จริงๆแสดงให้แก่นักศึกษาแพทย์ด้วย จะเป็นระยะๆ ที่เขาไปขอกับตำรวจว่า ต้องการคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง สำหรับฝึกสอนการผ่าตัด แล้วพวกเขาก็ส่งมาให้ทีละคนๆ ปกติเหมือนการเบิกเครื่องมืออะไรทำนองนั้น การผ่าชำแหละคนที่นั่น คือ เป็นการฝึกและทดลองผ่าของนักศึกษาแพทย์ มากกว่าที่จะเป็นการทำวิจัยอะไร และสำหรับที่นั่น มันเป็น เรื่องกิจวัตรประจำวันจะตายไป! ของแพทย์ญี่ปุ่นทีทำงานอยู่ในช่วงสงคราม กับคนจีนในประเทศจีน

หมอยัวซ่า ยังรู้สึกขอโทษ และเสียใจอย่างสุดที่จะบรรยาย ต่อสิ่งเลวร้ายที่เขาได้กระทำลงไปในอดีต นั่นก็คือ เขาได้เพาะเชื้อไทฟอยด์ขึ้นมา ใส่ในหลอดทดลอง และส่งต่อไปให้กองทหารอีกหน่วยหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับคำสั่งให้ทำการนี้ก็เถอะ ! ในเวลาต่อมา มีทหารจากหน่วยนั้น ซึ่งทหารคนนั้น ก็ไม่ได้มีการติดต่อกับหน่วย 731 เล่าให้หมอฟังภายหลังว่า พวกทหาร จะนำเชื้อในหลอดทดลองเหล่านั้น ไปแพร่ในบ่อน้ำ ที่หมู่บ้านในเขตของพวกคอมมิวนิสต์

แผนการที่จะทำสงครามเชื้อโรคกับประเทศสหรัฐอเมริกา

ใน ค.ศ.1944 เมื่อญี่ปุ่นใกล้จะจนตรอก ดูท่าว่าต้องพ่ายแพ้ในสงคราม กองบัญชาการทหารแห่งโตเกียว ต้องการที่จะตีไม้ตายตอบโต้ ยังเขตแดนที่เป็นหัวใจของสหรัฐอเมริกาให้สำนึกในฤทธิ์เดช ญี่ปุ่นเลยปล่อยบอลลูนมากมาย ให้เคลื่อนที่โดยกระแสลมแรงเข้าสู่ทวีปอเมริกา ถึงแม้ว่า รัฐบาลอเมริกา จะได้สืบทราบรายงานเบาะแสเรื่องนี้ก่อน แล้วก็ตาม แต่กระนั้น บอลลูน 2,000 ลูก ได้ลงไปยังมลรัฐทางด้านตะวันตก และระเบิดที่อยู่ในบอลลูนเหล่านั้น เป็นเหตุให้ผู้หญิง 1 คนในมอนทาน่า และอีก 6 คนในโอรากอน ถึงแก่ความตาย

อีกครึ่งศตวรรษตอมา ปรากฏหลักฐานที่ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกว่า พวกทหารยศนายพล ของญี่ปุ่นบางคน มีจุดประสงค์ที่จะปล่อยสงครามทางชีวภาพ ก็คือ บอลลูนมากมาย ที่มีเชื้อโรคระบาดแอนแทรกซ์ไปยังสหรัฐอเมริกาอีก ยังไม่พอ กองทหารจากหน่วยอื่น ก็ต้องการที่จะส่งเชื้อโรคไวรัสปศุสัตว์ ไปกำจัดสัตว์ ที่เป็นอุตสาหกรรมอาหารของอเมริกา หรือเมล็ดข้าวและธัญพืชให้ปนเปื้อนสารพิษ จะได้กำจัดพืชผลทางอาหาร ของคนทั้งประเทศให้สิ้นซากไปเลย(สร้างสรรค์ดีจัง!)

ในช่วงตึงเครียดนั้น! ได้เกิดการประชุมโต้แย้งอย่างดุเดือดเผ็ดมันในกรุงโตเกียว แถมยังมีเอกสารที่ถูกเปิดเผยมาเร็วๆนี้ ถึงการประชุมอย่างดุเดือดผัดพริกขิง เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944โน่น คือ ฮิเดกิ โตโจ ผู้ซึ่งสหรัฐอเมริกาแขวนเขาขึ้น ในเรื่องอาชญากรสงคราม เพราะว่าเขา คือ ผู้ที่คัดค้านหัวชนข้างฝาห้อง ต่อต้านการที่จะทำสงครามชีวภาพกับสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ประชุมในช่วงเวลานั้น โตโจ ถูกนายกรัฐมนตรี และนายพลระดับหัวหน้า ขับไล่ให้ออกจากที่ประชุมไป! แต่เขาก็ยังคงหนา และไม่ยอมออกไป แถมใช้สิทธิอำนาจขั้นสูงพอของเขา ที่จะยับยั้งไม่ยอมอนุมัติข้อเสนอนั้น เหตุผลก็เพราะ เขาตระหนักดีว่า ฝ่ายญี่ปุ่นดูท่าว่าร่อแร่จะแพ้สงครามเป็นแน่แท้ เขากลัวว่า หากเอาเชื้อโรคสงครามชีวภาพ ไปจู่โจมอเมริกา ก็จะต้องถูกอเมริกาตอบโต้กลับโดยเชื้อโรค หรืออาวุธสารเคมีที่ทางอเมริกาพัฒนาขึ้นบ้าง คราวนี้หล่ะ! ประเทศญี่ปุ่นจะแย่แน่ๆ!

แต่กองทัพญี่ปุ่น ยังตั้งใจที่จะใช้อาวุธชีวภาพ เพื่อต่อต้านฝ่ายพันธมิตร ในบางสถานการณ์ ขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมการจะเข้าโจมตี เกาะไซปัน ในปลายของช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1944 ญี่ปุ่นส่งเรือดำน้ำที่บรรทุกอาวุธทางชีวภาพ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นชนิดใด ไปยังประเทศคู่ต่อสู้

แต่เรือดำน้ำกลับมีอันเป็นไป จมลง! ศาสตราจารย์ ซึนิชิ กล่าวว่า พวกกองทหารญี่ปุ่นจึงต้องพึ่งใช้เพียงแค่ อาวุธธรรมดาเท่านั้น!

ขณะที่สงครามยุติลง เกือบจะย่างปี ค.ศ. 1945 หลักสูตรโครงการมัจจุราช จากหน่วย 731 ที่มีชื่อระหัสอันแสนไพเราะว่า เชอร์รี่บานยามราตรี คือ การใช้กลุ่มนักบินคามิกาเซ่ บินพลีชีพเข้าไปปล่อยเชื้อโรค ที่แคลิฟอร์เนีย อนิจจา ได้ถูกสั่งห้ามซะก่อน!

โทชิมิ มิโซบูจิ ครูฝึกทหารใหม่ ในหน่วย 731 อธิบายรายละเอียด แห่งแผนนี้ว่า จะใช้ทหารใหม่ 20 นายจาก 500 นาย ผู้ซึ่งเดินทางมาถึง Harbin ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1945 โดยจะให้ทหารเพียง 2-3 นาย เดินทางไปกับเรือดำน้ำ ไปโผล่ยัง ตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย เรือดำน้ำนั้นมีสมรรถนะ บรรทุกเครื่องบินได้ 2-3 ลำ ต่อมา พวกเขาจะต้องขับเครื่องบิน(1ลำ : นักบิน 2-3 นาย) เพื่อขึ้นฝั่งไปปล่อยแมลงเชื้อโรคที่ ซานดิเอโก เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการ คือ วันที่ 22 กันยายน 1945

อิชิโอะ โอบาตะ วัย 73 ปี ในปัจจุบัน อาศัยอยู่ที่ เอฮิเมะ เปิดเผยว่า เขา ก็คือ อดีตหัวหน้าของ แผนระหัส เชอร์รี่บานยามราตรี ที่จะใช้โจมตี ซานดิเอโก แต่ว่าเขาไม่ให้รายละเอียดใดๆมากไปกว่านี้ นอกจากพูดว่า "มันเป็นความทรงจำที่ชั่วร้ายมาก ซึ่งผมไม่ต้องการ ที่จะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก"

ทาดาโอะ อิชิมารุ วัย 73 ปี เขา คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก ให้ทำสงครามชีวภาพที่ ซานดิเอโก "ผมไม่ต้องการที่จะระลึกถึง หน่วย 731 อีก " เขาพูดสั้นๆใน การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ "ตั้งแต่สงคราม ก็ห้าสิบกว่าปีมาแล้ว ขอให้ผมใช้ชีวิต อย่างสงบเถอะ"

ไม่มีความกระจ่างว่า แผนการ เชอร์รี่บานยามราตรีนั้น ได้มีโอกาสทำตามแผนที่วางไว้หรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ประเทศญี่ปุ่น มีเรือดำน้ำตามสมรรถนะที่ระบุนั้น ถึง 5 ลำขึ้นไป (แต่ละลำ สามารถบรรทุกเครื่องบินไปด้วย 2-3ลำได้ ซึ่งปีกของเครื่องบินเหล่านี้ สามารถพับเก็บเข้าข้างลำตัวของเครื่องได้ อย่างกับนก)

แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญทางนาวิกโยธินของญี่ปุ่นกล่าวว่า ทหารนาวิกโยธินไม่เคย อนุญาตให้ นำอุปกรณ์ทางเรือที่ดีที่สุด ไปใช้สำหรับของฝ่ายทหารบก (เชอร์รี่บานยามราตรี)เลย เพราะมีส่วนเป็นไปได้ว่า ในช่วงฤดูร้อนในปี ค.ศ. 1945 นั้น พวกทหารเรือ ต้องประจำหน้าที่สำคัญมาก คือ ปกป้องดูแลน่านน้ำเขตแดนของเกาะญี่ปุ่น ในช่วงตึงเครียด ไม่ใช่ การไปปล่อยเชื้อโรคทำสงครามชีวภาพ ยังแผ่นดินอเมริกาโน่น!

หากว่า แผนเชอร์รี่บานยามราตรี ได้เคยมีโอกาสทำขึ้นจริงๆ มันก็ไม่สอดคล้อง กับการที่ญี่ปุ่นเตรียมตัวที่ยอมแพ้ ในช่วงต้นเดือน สิงหาคม 1945 และช่วงวันท้ายๆของสงครามที่ใกล้จะยุติลง เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมนั้น หน่วย 731 ก็ได้ใช้ระเบิดไดนาไมท์ ในการทำลายหลักฐานทั้งหมด เกี่ยวกับแผนของโครงการสงครามทางชีวภาพ นักวิชาการกล่าว

ไม่มีการลงโทษ แทบจะไม่มีความสงสารบ้างเลย

มีส่วนว่า สหรัฐอเมริกา ก็ช่วยปกปิดเรื่องโครงการสงครามทางชีวภาพ เพราะต้องการแลกเอาข้อมูลในเรื่องนี้ นายพล ชิโร อิชิอิ หัวหน้าหน่วย 731 ได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตบั้นปลาย อยู่อย่างสงบ จนกระทั่งตายไปด้วยโรคมะเร็งในลำคอ เมื่อปี ค.ศ. 1959 ส่วนผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชา ในหน่วย 731ของเขา ก็มีความก้าวหน้ากันถ้วนทั่ว ในอาชีพการงานช่วงหลังสงครามยุติลง ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น รวมถึง กรรมการปกครองโรงพยาบาลในกรุงโตเกียว ประธานแพทยสมาคม และ สมาชิกการประชุมเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิค

จากสามัญสำนึกทั่วๆไปแล้วนั้น ลงความเห็นว่า ไม่มีใครที่จะโหดระห่ำไปกว่า ชาวนาคนนั้น คนที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ สมาชิกในหน่วย 731 ที่เขาทำการชำแหละนักโทษชาวจีน โดยไม่มีการให้ยาสลบ และยังเป็นคนที่ ใส่เชื้อโรคพิษร้ายลงในแม่น้ำและบ่อน้ำอีกหลายแห่ง แต่ดูเหมือนว่า ในการตกลงที่จะให้สัมภาษณ์ข้อมูลนั้น เขามีความตั้งใจที่จะอธิบายว่า หน่วย 731 ก็ยังไม่ถึงกับ ใจสัตว์ เสียทีเดียว!

เราถามเขาว่า ทำไม? เขาถึงไม่ให้ยาสลบกับนักโทษ ก่อนที่จะไปทำการชำแหละซะเล่า! ชาวนาคนนั้นให้เหตุผลทางวิชาการ อันลึกซึ้งว่า " การผ่าชำแหละ ควรกระทำภายในสถานภาพร่างกายปกติ(เป็นๆ) หากว่าเราใช้ยาสลบแล้ว มันจะมีผลต่อระบบอวัยวะต่างๆ ตลอดจนระบบการสูบฉีดโลหิต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ พวกเราต้องการจะศึกษาอยู่พอดี๊! ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะให้ยาสลบได้ ก็เท่านั้น ! "

และหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับพวกเด็กๆ ก็ถูกถามตามมา ชาวนาก็มีคำตอบอันชาญฉลาดมาว่า " แน่นอน เพราะพวกเขากำลัง ทำการทดลอง เรื่องเกี่ยวกับเด็กๆ ซึ่งบางที พ่อของพวกเด็กๆเหล่านั้น อาจเป็นสปายจากฝ่ายตรงข้าม ! เด็กเหล่านั้น ก็สมควรที่ต้องถูกจับมาทดลอง"

" ยังมีความเป็นไปได้ว่า มันอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้นะ! " ชายชรากล่าว ด้วยใบหน้าร่าเริง ที่ไม่รับรู้สำนึกทุกข์ร้อนใดๆ " เพราะในสงคราม คุณรู้อย่างเดียวว่า ต้องชนะเท่านั้น ! "(ขอโมทนา สาธุ! สาธุ!)

ความเห็นจากญี่ปุ่นวัยโจ๋ที่ร่วมถก เรื่อง (อดีต)อาชญากรรมสงครามโดยทหารญี่ปุ่นใน

จากเรื่องที่ทหารญี่ปุ่นฆ่าคนจำนวนมหาศาลที่นานกิง

"เหตุการณ์โหดเหี้ยมได้เกิดขึ้นเช่นนั้น ทั้งหมดจริงๆเหรอ?"

"ผมมีความเห็นว่า ทุกประเทศก็ต้องเคยมีการทำสิ่งที่ ถูกมองว่าไม่ค่อยถูก ไม่ค่อยควร ทั้งนั้นแหล่ะ! แม้แต่ จีนเองก็เถอะ! ไม่ใช่ว่าจะใสปิ๊ง ตลอดร๊อก!"

"จีน ก็เคยพยายาม ที่จะรุกรานญี่ปุ่นอยู่เนืองๆเหมือนกัน เมื่อ 600 ปีที่แล้ว"

"จีน กำลังขยายแสนยานุภาพทางทหารของตนอย่างมาก การกระทำเช่นนี้ เราก็ถือเป็นอนุภาพการข่มขู่ ต่อประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียนี้"

"การที่จีน ทดลองอาวุธนิวเคลียร์นั้น ก็เปรียบเสมือน นัยว่า จีนอาจจะคิดไปปล่อย A-bomb ถล่มญี่ปุ่น เมื่อไหร่ก็ได้ ใครจะไปรู้?"

"มันก็ถูกที่ ฝ่ายการเมืองของเรา (โดยเฉพาะสมาชิก LDP) บางครั้งสร้างความเห็นอันโหดเหี้ยมทารุณ ซึ่งก็ถูกที่ความคิดเห็นเพี้ยนๆเช่นนั้น มันคือ สันดานดิบ รากลึก ของคนญี่ปุ่นทั่วๆไป สาเหตุของรากลึก คือ ญี่ปุ่นมีชาตินิยมสูงส่ง ชาวญี่ปุ่นบางคน โดยเฉพาะ พวกรุ่นเก่าลายครามด้วยแล้วนั้น อย่าให้เซด! เลยว่า ดูถูกดูหมิ่นชาวเอเชียชาติอื่นๆแค่ไหนหน่ะ! มองหญิงเอเชียชาติอื่นๆ มีค่าเพียงหญิง ที่ไว้ปลดเปลื้องความใคร่ ความเครียดเท่านั้น! แต่ความคิดเช่นนี้ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สันนิษฐาน จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากมาย ของชาติอื่นๆในแถบเอเชีย"

คำสารภาพของ อาชญากรสงครามชาวญี่ปุ่น

คัดลอกจาก Japan at War

แปลโดย : ไม้เก่าลายงาม

"โทมินากะ โชโจะ หนึ่งในสมาชิกจาก Chiigoku Kikansha Renrakukai (สมาคมผู้เดินทางกลับจากการถูกจองจำในจีนแผ่นดินใหญ่) ซึ่งคือ กลุ่มอาสาสมัครญี่ปุ่นที่ถูกจับกุมคุมขัง อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ด้วยข้อหาอาชญากรสงคราม เมื่อหลังจากที่สงครามยุติลง บางคนได้ถูกกักตัวไว้ในโซเวียตก่อน แล้วค่อยถูกส่งให้จีนภายหลัง ในปี ค.ศ. 1956 ศาลทหารจีนได้ฟ้อง และจองจำชาวญี่ปุ่น 45 คน ในข้อหาอาชญากรสงครามของทางการ ส่วนพวกญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่เหลืออีก 1,100 คน ที่มีส่วนในเรื่องนี้ ทางการจีนยอมปล่อยให้เป็นอิสระ หลังการยอมรับสารภาพผิดแล้ว เวลาล่วงเลยมาถึงค.ศ. 1964 นักโทษที่ถูกจองจำเหล่านั้น ก็ถูกปล่อยกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นครบทุกคน โดยไม่มีใครถูกจีนคอมมิวนิสต์ ประหารชีวิตเลยซักคนเดียว! "

"บรรดาสมาชิกของกลุ่มนี้ ยอมรับต่อสาธารณชนว่า พวกเขามีส่วนร่วมใน 'สงครามที่เหี้ยมโหด' และพวกเขาเคยถูกกักขังอยู่ในประเทศจีน เพราะพวกเขา คือ อาชญากรสงครามตัวจริง ที่ได้กระทำความผิดมหันต์ ต่อมนุษยชนลงไปในช่วงสงครามโลก แต่ด้วยอานิสงจากนโยบายที่ใจกว้าง มีคุณธรรมของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มุ่งหวัง จะสร้างสันติภาพขึ้นระหว่างจีนและญี่ปุ่น และความสงบสุขให้เรื่องมันจบๆกันไป กลุ่มนี้จึงได้กลับมาบ้านเกิดทุกคน และอาการครบสามสิบสอง ทำให้พวกเขารวมตัวกันขึ้นเป็นสมาคมจากอานิสงนี้เอง! ซึ่งมันก็จะแตกต่าง จากคนญี่ปุ่นอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นคนส่วนมากที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามนั้นเช่นกัน แต่พวกเขากลับเขียนเล่าโวโอ้อวด และวางท่าทางภาคภูมิใจ ในเรื่องกระทำความชั่วช้า ฉิบหาย ยับเยินของเหยื่อมนุษย์มากมาย ที่ตนได้ย่ำยีลงไปต่างๆนาๆ โดยมิได้รู้สำนึกของความเป็นคนซักนิด แถมยังยกย่องเชิดชูอย่างเปิดเผยว่า เป็นเกียรติความรับผิดชอบของสงคราม เพื่อองค์จักรพรรดิโชว่า พวกเขาจึงถูกประณามว่า 'สมองพวกมันถูกล้าง' จนเสียไปแล้ว!"

Ref. Form

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เนิร์ดคืออะไร? แบบไหนถึงจะเรียกว่า Nerd

นิร์ด (อังกฤษ: nerd) เป็นภาพตายตัว (stereotype) หรือภาพต้นแบบ (archetype) ใช้หมายถึง คนที่ปกติจะขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ หรือเรื่องที่คนอื่นเห็นว่าไม่น่าสนใจ จากภาพตายตัวเนิร์ดจะหมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีระดับสติปัญญาสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สนใจในสิ่งที่สังคมทั่วไปไม่สนใจกัน (โดยมากจะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์) คำนี้ใช้กันแพร่หลายที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีใช้ไม่น้อยในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 เนิร์ดจำนวนมากบนโลกอินเทอร์เน็ต ถือเอาคำนี้เสมือนเหรียญตราแห่งความภูมิใจ และเริ่มใช้มันในความหมายแง่บวก เพื่ออธิบายถึงบุคคลที่มีความสามารถทางด้านเทคนิค ถึงแม้ว่าดั้งเดิมแล้วคำว่า "เนิร์ด" และ "กี๊ก" (geek) จะใช้เรียกผู้ชาย แต่ผู้หญิงจำนวนมากที่สนใจในเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสาขาวิชาอื่น ๆ ที่ปกติจะมีแต่ผู้ชาย ก็เริ่มรับเอาสองคำนี้ไปใช้เสมือนหนึ่งตราแห่งความสำเร็จด้วย

ในภาษาไทย อาจใช้คำว่าหนอนหนังสือเพื่ออธิบายเนิร์ดได้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความหมายที่ตรงเท่าไหร่นัก

ภาพลักษณ์ของเนิร์ดในสื่อมวลชนและการ์ตูน มักจะเป็นชายหนุ่มใส่แว่นหนากรอบดำ (ที่มักจะแตกและแปะด้วยเทปพันสายไฟ) มีไม้โปรเทกเตอร์ติดกระเป๋า สวมกางเกง "high-water pants" และเสื้อเชิ้ตหรือชุดที่มักจะเป็นทางการเกินไป และบางครั้งภาพที่ออกมาก็มักจะเป็นคนที่ไม่ดูแลความสะอาดของตัวเอง และถ้าไม่ผอมแห้งก็จะอ้วนฉุไปเลย ภาพของเนิร์ดมักจะเป็นคนที่เข้าสังคมไม่คล่อง ไม่สามารถสนทนาเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเทคนิคกับคนอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาวสวย


เนิร์ด และ กี๊ก

ได้มีการถกเถียงกันถึงความสัมพันธ์ระหว่างคำ เนิร์ด และ กี๊ก บางคนก็มองว่ากี๊กนั้นก็คือเนิร์ดแต่มีความสามารถที่ด้อยชั้นกว่า บางคนก็ว่าเนิร์ดนั้นใช้หมายถึงคนที่มีความสามารถในด้านเทคนิค รวมทั้งมีความสามารถในการเข้าสังคม ส่วนกี๊กนั้นมีแต่ความสามารถทางด้านเทคนิค ขาดความสามารถในการเข้าสังคม บางกลุ่มก็ให้ความหมายกลับกันว่า กี๊กนั้นคือเนิร์ดที่มีความสามารถในการเข้าสังคม และยังใช้คำนี้เรียกกลุ่มของตนด้วยความภาคภูมิใจ เช่น บริษัทกี๊ก (Geekcorps) ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค ไปช่วยประเทศที่กำลังพัฒนา ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคอมพิวเตอร์ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีบางกลุ่มที่ว่า กี๊กนั้นคือกลุ่มคนที่ไม่มีทั้งความสามารถทางด้านเทคนิค และ การเข้าสังคม

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีความแตกต่างของการใช้คำ เนิร์ด และ กี๊ก ตามท้องถิ่นต่าง ๆ บ้างก็ว่าตามชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือนั้นนิยมคำว่า กี๊ก มากกว่าคำว่า เนิร์ด ส่วนตามชายฝั่งตะวันออกนั้นนิยมคำว่า เนิร์ด มากกว่าคำว่า กี๊ก (ดูเว็บ The Sexiest Geek Alive) บางกลุ่มซึ่งอาศัยอยู่ตามชายฝั่งตะวันออกก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากพบเห็นบ่อยครั้งที่มีการใช้คำ เนิร์ด ในเชิงดูถูก และ กี๊ก ในเชิงยกย่อง ในประเทศอังกฤษ คำว่าเนิร์ด นั้นจะมีนัยสื่อไปในทางไม่ดี ส่วน กี๊ก นั้นจะใช้ไปในเชิงที่เป็นมิตร

คำเนิร์ดเริ่มได้รับความนิยมในช่วง ทศวรรษ 1950 ในขณะที่มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดว่าการมีผลการเรียนที่ดีนั้น "cool" หรือ เจ๋ง คำเนิร์ดจึงถูกเริ่มใช้ในเชิงค่อนแคะ (ในขณะที่บางคนก็ถือเป็นคำชมเชย) ส่วนคำกี๊กนั้นเริ่มแพร่หลายทีหลังในช่วงทศวรรษ 1980 และไม่ได้ถูกใช้สื่อไปในทางไม่ดี คำกี๊กยังถูกใช้ในความหมายเดียวกับเนิร์ด แต่มีระดับความเข้มข้นของคำที่อ่อนกว่า โดยหมายถึง กลุ่มคนที่ถือว่าไม่ได้มีบทบาท ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้มีความสลักสำคัญในวงสังคม ในขณะที่เนิร์ดนั้นใช้หมายถึง กลุ่มคนที่มีความเงอะงะ ขัดเขินในการเข้าสังคม




Me It Nerd